วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์


สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาเพื่อนๆไปพบกับดินเเดนมหัศจรรย์ชมอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์ อุโมงที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจ

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์



อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



       เมื่อพูดถึงการชมดอกไม้ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงการชมดอกซากุระ ที่ทยอยเบ่งบานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงตลอดทั้งเดือนเมษายน แต่คราวนี้เราขอพาไปชมดอกไม้อีกหนึ่งชนิดในญี่ปุ่น ที่มีความงดงามตระการตาไม่แพ้กัน นั่นคือ "ดอกวิสทีเรีย" (Wisteria) ซึ่งสถานที่ชมดอกวิสทีเรียที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ก็ต้องเป็นที่สวนคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน (Karachi Fuji Garden) ในเมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ ที่มีซุ้มอุโมงค์ต้นวิสทีเรียให้เดินลอดเป็นทางยาวเมื่อไปในช่วงที่ดอกวิสทีเรียกำลังแข่งกันเบ่งบาน เป็นสถานที่แสนงดงามราวกับเดินอยู่ในสรวงสวรรค์


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



          วิสทีเรีย เป็นพืชตระกูลถั่ว เติบโตได้ดีแม้ดินมีสารอาหารต่ำ เถาของมันจะเลี้ยวเกี่ยวพันไปกับหลัก ขึ้นไปได้สูงถึง 20 เมตร และแผ่ขยายออกด้านข้างได้ถึง 10 เมตร ดอกของมันออกเบียดเสียดกันตามปลายกิ่งที่ห้อยลงเห็นเป็นพวงสวยงาม

          สำหรับต้นวิสทีเรีย ที่สวนคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน นี้ มีมากถึง 150 ต้น แบ่งเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ถึง 20 สายพันธุ์ สีสันของดอกจึงแตกต่างคละเคล้ากันไป ตั้งแต่สีขาวบริสุทธิ์ สีน้ำเงิน สีชมพู สีชมพูอมม่วง ไปจนถึงสีม่วงเข้ม พากันเบียดเสียดออกดอกเป็นพวงห้อยระย้าละลานตา


          หากต้องการมาเที่ยวชมอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย ที่สวยคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน ก็อย่าลืมวางแผนล่วงหน้าสักนิด โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม หากมานอกเหนือจากช่วงนี้อาจไม่ได้ยลอุโมงค์ดอกวิสทีเรียแสนสวย จะมีก็เพียงเถาของต้นวิสทีเรียพันเกี่ยวไปมาเท่านั้นนะจ๊ะ :D




อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สโตนเฮนจ์



สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ สโตนเฮนจ์

 สโตนเฮนจ์





       สโตนเฮนจ์(Stonehenge) หนึ่งในปริศนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดทางโบราณคดีของโลก นานหลายพันปีมาแล้ว แนวความคิดที่ล้ำหน้าแบบใหม่ สามารถจะอธิบายได้ว่าอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่และลึกลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใครและด้วยเหตุผลใดการศึกษาในสังคมปัจจุบันผสมผสามกับหลักฐานทางโบราณคดีจากทั่วยุโรปเหนือ ได้นำไปสู่ทฤษฎีที่น่าประหลาดใจว่าสโตนเฮนจ์ ถูกสร้างขึ้นมิใช่เพียงเพื่อเฉลิมฉลองดวงอาทิตย์หากเพื่อบูชาพลังที่เก่าแก่

อนุสรณ์โบราณนี้เปรียบเสมือนป้ายหลักกิโลเมตรที่สำคัญบนถนนที่นำไปสู่โลกใหม่ การไขปริศนาเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐาน โดยถามว่า คนที่สร้าง สโตนเฮนจ์ เชื่อในสิ่งใด? โครงสร้างที่ใหญ่ระดับนี้และเก่าแก่เช่นนี้ ย่อมต้องมีความสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างมากสำหรับผู้สร้าง การก่อสร้างเริ่มบนที่ตั้ง สโตนเฮนจ์ เมื่อกว่า 5 พันปีก่อน โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก แต่ละช่วงทำให้เกิดการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมเสมอ หินยักษ์บางก้อนถูกส่งมาจากยอดเขาเพรสเซลลี่ (Presscelly) ในแคว้นเวลส์ ซึ่งอยู่ห่างไปหลายร้อยไมล์ มายังสถานที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ บนที่ราบซาลส์บิวรี่ (Salisbury) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ







บราณคดีแบบเดิม สรุปโดยทั่วไปว่าวัตถุประสงค์สำคัญของ สโตนเฮนจ์ก็คือ ดวงอาทิตย์ หน้าที่ของมันคือเป็นวิหารแห่งดวงอาทิตย์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นปฏิทินแสงแดด คนนับพันยังคงมารวมตัวกันกลางฤดูร้อนเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น และยังคงสืบทอดประเพณีที่หลายคนเชื่อว่ามีมาตั้งแต่เริ่มแรกของ สโตนเฮนจ์ แต่ในเดือนกันยายน ปี2002 บนเนินเขาทางตอนกลางของประเทศเยอรมันนี การค้นพบที่น่าทึ่งได้เกิดขึ้น แผ่นทองเหลืองแบบกลมอันสวยงาม ที่แสดงให้เห็นถึงดวงอาทิตย์แบ่งฟ้าร่วมกับดวงจันทร์ดวงใหญ่ และมีอายุเทียบเท่ากับช่วงสุดท้ายของการก่อสร้าง สโตนเฮนจ์ ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าก่อนจะหันมาบูชาดวงอาทิตย์ มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เคยบูชาดวงจันทร์มาก่อน เพื่อทำความเข้าใจแรงผลักดันทางสังคมในยุค สโตนเฮนจ์ การนำช่วงเวลาก่อสร้างมาพิจารณาอาจช่วยได้ มันถูกสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของยุค นีโอลิทิก (Neolithic) ขณะที่ยุคนี้กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปเป็นยุคทองเหลือง นีโอลิทิก หรือยุคหินใหม่ ถูกมองว่าเป็นช่วงต่อจากยุคพาลีโอลิทิก (Palaeolithic) หรือยุคหินเก่า ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน เป็นช่วงแรกในประวัติศาสตร์พัฒนาการของมนุษย์ และสโตนเฮนจ์ ซึ่งใช้ทักษะในเชิงวิศวกรรมและการตกแต่งที่พิเศษ กลับโดดเด่นเหนือกว่าอนุสาวรีย์อื่น ๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่กองหินธรรมดาที่พาดทับซ้อนกันเท่านั้น แต่นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด






มนุษย์ยุคหินที่ปราศจากเครื่องยนต์หรือเครื่องมือเหล็ก สามารถจัดการกับงานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? คำตอบง่าย ๆ คือ เวลาและความอดทนอันไร้ขีดจำกัด และเครื่องมืออันเรียบง่าย เช่น ชะแลง และ สิ่ว ที่ทำจากเขากวางมันคงใช้เวลานาน สำหรับการใช้ค้อนหิน ตอกหินให้เป็นรูปทรง และทำให้พื้นผิวที่ขรุขระแบนเรียบ แต่การทำงานในระดับนี้ ต้องการมากกว่าวิสัยทัศน์ มันต้องการคณะทำงานที่ทุ่มเทนั่นก็คือมีแรงงานในยุคเกษตรกรรมมีสังคมที่ซับซ้อนและมีวิสัยทัศน์มากพอที่จะนำแรงงานมาสร้างอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้

ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มักเกี่ยวโยงกับสองเพศ ไม่น่าแปลกใจที่ เพศหยิง จะถูกนำไปโยงกับดวงจันทร์สโตนเฮนจ์อาจจะสร้างเพื่อเทิดทูนดวงจันทร์ ด้านสตรีเพศของสังคม ขณะเดียวกันก็มิได้หันหลังให้กับดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นด้านบุรุษของสังคมเช่นกัน นักโบราณคดีเชื่อว่า สโตนเฮนจ์ถูกสร้างมาเพื่อต้องการให้ประชาชนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในแง่มุมใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้แสดงว่านักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนได้สังเกตการณ์มายาวนาน พวกเขารู้ถึงตำแหน่งของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไประหว่างขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ และเหลือเชื่อที่ว่าพวกเขาสามารถออกแบบสโตนเฮนจ์ให้สามารถดักจับแสงของดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าผ่านหน้าต่างสโตนเฮนจ์ได้ทุก ๆ เดือนใน 1 ปี





คุณอาจมองที่สโตนเฮนจ์ แบบที่คนรุ่นก่อนได้มองมาแล้ว และตีความมันไปได้หลายทาง ทุกรุ่นตีความต่างกันและเข้าใจต่างกัน สิ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยงกับคนในยุคนั้นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเข้าใจการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และสามารถการเชื่อมโยงระหว่างการเคารพดวงจันทร์ในอดีตและการเคารพดวงอาทิตย์ในอนาคต เช่นเดียวกับมนุษย์ที่เปลี่ยนตัวเองจากนักล่าให้เป็นชาวไร่ อนุสาวรีย์แห่งนี้อาจจะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำเราไปสู่ชีวิตใหม่

นักโบราณคดีในปัจจุบันพยายามทำความเข้าใจสังคมก่อนประวัติศาสตร์ที่สร้างงานอันยิ่งใหญ่ชึ้นหนึ่งของโลกพวกเขาเชื่อว่ามีแต่นักบวชเท่านั้นที่มีความสามารถในการชักจุงคนจำนวนมากมาทำงานหนักในการก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นนี้