วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ทางเดินยักษ์



สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ ทางเดินยักษ์ในไอร์เเลนด์



ทางเดินยักษ์





          ตำนานเล่าว่าฟินน์ แม็กคูล ยักษ์แห่งไอร์แลนด์สร้างถนนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากบ้านของตนตรงชายฝั่งเขต แอนทริมในไอร์แลนด์เหนือไปสู่หมู่เกาะเฮบริดิส ซึ่งเป็นปราการของยักษ์สกอตชื่อฟินน์ กอลล์ผู้เป็นศัตรู้คู่อาฆาต ยักษ์แม็กคูลได้รวบรวมแท่งหินยาวหลายร้อยแท่งเพื่อตอกลงไปในพื้นมหาสมุทร เป็นทางเดิน จากนั้นก็กลับไปพักที่บ้านก่อนจะเข้าโจมตีฟินน์ กอลล์ แต่ยักษ์ฟินน์ กอลล์ก็ฉวยโอกาสเดินข้ามจากบ้านในเกาะสแตฟฟาไปไอร์แลนด์เสียก่อน เมื่อภรรยาของยักษ์แม็กคูลล่อให้ยักษ์ฟินน์ กอลล์หลงเชื่อว่ายักษ์ที่กำลังนอนหลับอยู่นั้นคือลูกอ่อนของนาง ยักษ์ฟินน์ กอลล์ก็วิตกว่าหากลูกตัวโตเพียงนี้ ตัวพ่อจะใหญ่สักปานใด จึงหนีกลับไปด้วยความกลัว ทันทีที่ออกสุ่ทะเลอย่างปลอดภัย ยักษ์ฟินน์ กอลล์ก็เริ่มดึงแท่งหินเบื้องหลังตนออกเพื่อไม่ให้ผุ้อื่นใช้ถนนอีกต่อไป
 
แม้ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้แล้วว่า “ทางเดินยักษ์” (Giant’s Causeway) มีที่มาอย่างไร แต่ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดจึงเกิดตำนานดังกล่าวข้างต้น เฉพาะขนาดของทางนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันต้องเป็นสิ่งซึ่งสร้างโดยมือของ ยอดมนุษย์ เมื่อมองจากอากาศ เราจะเห็นทางยาว 275 ม. เลียบชายฝั่ง แล้วยื่นออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศเหนือเป็นระยะทางยาว 150 ม. แท่งหินในทางเดินส่วนใหญ่สูง 6 ม. แต่บางแห่งจะสูงกว่านั้นถึงสองเท่า ลักษณะที่แท่งหินหลายแท่งมาประกบกันนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แท่งหินบะซอลต์ราว 40000 แท่งซึ่งล้วนมีรูปร่างหลายเหลี่ยมด้านเท่า แต่ส่วนใหญ่เป็นรูปหกเหลี่ยม ประสานสอดกันสนิทจนยากจะเสียบใบมีลงไประหว่างรอยต่อได้

 
          ปลายอีกด้านหนึ่งของถนนแม็กคูลซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่ง 120 กม. คือที่ตั้งของเกาะสแตฟฟา เกาะนี้ล้อมรอบด้วยหน้าผาหินสูง 40 ม. ตัวผาประกอบด้วย แท่งหินบะซอลต์เช่นเดียวกับทางเดินยักษ์ ที่เกาะมีถ้ำฟิงกอล (Fingal’s Cave) ซึ่งนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ เซอร์โจเซฟ แบงก์สตั้งชื่อให้ตามยักษ์ฟินน์ กอลล์ ถ้ำนี้เจาะลึกเข้าไปในเกาะ 60 ม. ทั้งพื้น ผนัง และหลังคาถ้ำล้วนเกิดจากแท่งหินบะซอลต์สีดำ
 
          แท่งหินที่ทางเดินยักษ์นี้เกาะกลุ่มกันเป็นหาดธรรมชาติสามหาดเรียกว่า ทางเดินใหญ่ (Grand Causeway) ทางเดินกลาง (Middle Causeway) และทางเดินเล็ก (Littel Causeway) หินบ้างก้อนที่หาดทั้งสามนี้ มีชื่อแปลกๆ ตามรูปทรง เช่น “เก้าอี้สารพัดนึก” “พัด” “ยอดปล่องไฟ” หินที่มีชื่อสมตัวมากคือ “ออร์แกนของยักษ์” ซึ่งสูงพ้นดินขึ้นมา 12 ม. ทำให้มีรูปร่างเหมือนปล่องออร์แกนในโบสถ์
บิชอปแห่งเดรีค้นพบทางเดินยักษ์ในปี ค.ศ.1692 แม้จะมีผู้เดินทางมาชมสถานที่นี้บ้างในคริสต์วรรษที่ 18 แต่ก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งถึงปลายศตวรรษ ในเวลานั้นภาพวาดทั้งแบบลายเส้นและภาพสีที่เหมือนจริงซึ่งวาดขึ้นโดยคำสั่ง ของเฟรเดอริก เฮอร์วีย์ เอิร์ลบิชอปแห่งเดรี และโดยคำสั่งสมาชิกสมาคมดับลินและราชสมาคมแห่งสหราชอาณาจักร” ทำให้ทั้งนักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วไปหันมาสนใจแท่งหินประหลาดเหล่านี้ หนึ่งในผู้มาเยือนเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้แก่ วิลเลียม แธเคอเรย์ นักเขียนนวนิยายผู้บรรยายว่าหินเหล่านี้ดู “ราวกับว่ามีอมตเทวีในเทพนิยายเก่าแก่ถูกขังอยู่ภายในโดยมีมังกรเฝ้าอยู่”
 
นอกไปจากตำนานแล้ว มีผู้เสนอทฤษฎีต่างๆ เพื่ออธิบายถึงที่มาของทางเดินยักษ์ ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่าทางเดินนี้เป็นป่าไผ่ซึ่งกลายเป็นหิน หรือเกิดจากแร่ธาตุในน้ำทะเลตกตะกอนทับถมกัน แต่ปัจจุบันนักธรณีวิทยาส่วนมากเห็นพ้องต้องกันว่าทางเดินนี้เกิดจากภูเขาไฟ เมื่อประมาณ 50 ล้านปีมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ในไอร์แลนด์เหนือและสกอตแลนด์ตะวันตกเป็นดินแดนอันเต็มไป ด้วยภูเขาไฟที่คุกรุ่น ช่องในเปลือกโลกเปิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยลาวาออกมาไหลท่วมผืนดิน ลาวาที่ท่วมมีความลึกกว่า 180 ม. เมื่อลาวาเย็นลงก็จะแข็งตัว ลาวที่ไหลออกมาใหม่ก็จะมาทับถม ลาวาหลอมเหลวซึ่งถมทับพื้นหินบะซอลต์ราบจะเย็นลงและหดตัวอย่างเชื่องช้าและ สม่ำเสมอ สารประกอบทางเคมีในลาวาบอกให้ทราบว่าความกดดันที่เกิดขึ้นในผิวที่กำลังเย็น ลง กระจายจากจุดศูนย์กลางออกไปในอัตราเท่าๆ กัน ลาวจึงแยกจากกันเป็นรูปเหลี่ยมที่มีด้านแต่ละด้านเท่ากัน ส่วนใหญ่มักเป็นรูปหกเหลี่ยม ปฏิกิริยาเช่นนี้ครั้งเดียวจะเป็นแม่แบบให้เกิดปฏิกิริยาครั้งต่อๆ ไป ทำใหเกิดรูปหกเหลี่ยมทั่วพื้นผิวลาวา เมื่อการเย็นตัวของลาวาลามลึกลงไปถึงชั้นแผ่นหินบะซอลต์ แท่งเสารูปหกเหลี่ยมก็เกิดขึ้น




          ลาวาชั้นบนสุดซึ่งเย็นตัวก่อนจะหดตัวและแตกเป็นรูปหลายเหลี่ยมด้านเท่า คล้ายๆ กับโคลนซึ่งแตกบนก้นแม่น้ำอันแห้งงวด ขณะที่หินในระดับลึกลงไปเย็นและหดตัวลง รอยแตกบนผิวก็ลามลึกลงไปตลอดเนื้อลาวา ทำให้หินแยกออกเป็นเสาตั้ง ตลอดระยะหลายพันปี พลังของน้ำทะเลก็ค่อยๆ กัดเซาะแท่งหินบะซอลต์อันทนทานทำให้มันมีความสูงต่างกัน ความช้าเร็วของการเย็นตัวของลาวา ทำให้แท่งหินมีสีสันต่างกันออกไป ขณะที่หินเย็นลง มันจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน หินจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำตาล สีเทา และสีดำในที่สุด
 

          ทางเดินนี้ก่อใหเกิดแรงบันดาลใจแก่ศิลปินและนักประพันธ์รุ่นแล้วรุ่นเล่า นักประพันธ์ยุคโรแมนติกตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พรรณนาไว้ได้อย่างน่าฟัง นักประพันธ์ผู้หนึ่งเรียกทางเดินนี้ว่า “แท่นบูขาและวิหารแห่งธรรมชาติ…สร้างขึ้นให้มีความสมมาตร และงามสง่า เป็นงานอันยิ่งใหญ่โอฬารและอาจหาญซึ่งธรรมชาติเท่านั้นจะทำได้สำเร็จ” แต่คำบรรยายที่เหมาะสมที่สุดน่าจะได้แก่คำบรรยายของเซอร์โจเซฟ แบงก์ส นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาที่ว่า “เมื่อเปรียบเทียบกับงานชิ้นนี้ มหาวิหารหรือพระราชวังที่มนุษย์สร้างขึ้นจะเป็นอะไรได้…นอกจากแบบจำลองหรือ ของเล่นเท่านั้น”









ขอบคุณ bigfish 2 @cloud.com

สระว่ายน้ำนางฟ้า


สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ สระว่ายน้ำนางฟ้า


สระว่ายน้ำนางฟ้า






อากาศในไทยเริ่มกลับมาเย็นอีกครั้ง! หลายๆ คน ตื่นมาตอนเช้าคงไม่อยากอาบน้ำเย็นกันเสียเท่าไร อยากนอนต่อบนเตียงเรื่อยไปยังดีกว่า แต่วันนี้ Travel MThai จะพาไปยังสระน้ำทางธรรมชาติแห่งหนึ่งในประเทศสกอตแลนด์ ที่สวยงามราวอยู่บนสรวงสวรรค์ แถมมีชื่อเรียกสอดคล้องกันอีกต่างหากนามว่า สระว่ายน้ำนางฟ้า
สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์
สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์

สถานที่แห่งนี้ถูกยกให้เป็น สระว่ายน้ำของนางฟ้า (Fairy Pools) เหมือนสวรรค์ได้บรรจงสร้างเพื่อให้เหล่านางฟ้าบนสรวงสวรรค์ลงมาเล่นน้ำพัก ผ่อนหย่อนใจกันเสียนีกระไร สระว่ายน้ำที่ว่าเป็นสระอันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ อยู่ในหุบเขาเกลนบริทเทิล(Glen Brittle) เป็นหุบเขาขนาดใหญ่ทางใต้ของเกาะสกาย ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะอินเนอร์ เฮบริดิส กลุ่มเกาะนอกชายฝั่งตะวันตกของสกอตแลนด์

สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์
หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของนักชมธรรมชาติ และต้องการไขว่คว้าหาความบริสุทธิ์ มีการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบทั้งการปั่นจักรยาน เดินเขาพักแรม ถ่ายภาพ เพราะหุบเขาแห่งนี้อุดมไปด้วยความสมบูรณ์ทุกรูปแบบที่สำคัญมีสายน้ำเย็นไว้ บริการนักท่องเที่ยวยามเหนื่อยล้า หากเดินทางมาถึงบริเวณสระน้ำแห่งนี้แล้วล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าทุกคนต้องอยากกระโดดลงไป แม้ว่าจะมีอากาศเย็นก็ตามที (แต่หาทำเลดีๆ กันนะ เพราะบางสระนั้นตื้นและมีโขดหินจำนวนมาก)
สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์
สระว่ายน้ำนางฟ้า อนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำในสระธรรมชาติแห่งนี้ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข “รับผิดชอบต่อธรรมชาติ” ด้วยเช่นกัน หากร่างกายคุณทาครีมกันแดด หรือครีมอะไรก็แล้วแต่ไว้คุณควรจะล้างมันออกจากตัวคุณให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้น้ำในสระนี้ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีอันไม่พึงประสงค์ และหากระหว่างการเล่นน้ำแล้วเกิดปวดท้องขึ้นมา คุณก็ต้องรีบขึ้นจากสระเดินไปเข้าห้องน้ำ ที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตร รวมถึงช่วยกันรักษาความสะอาดทุกรูปแบบ เพื่อให้ธรรมชาติเหล่านี้ อยู่สวยงามคงกับเราตลอดไป…
สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์สระว่ายน้ำนางฟ้า (Fairy Pools) สวยสงบ ท่ามกลางขุนเขาสกอตแลนด์


โคลอสเซียม


สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ โคลิเซียม


โคลิเซียม





      Happylongway ขอแนะนำอีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ในการทัวร์อิตาลี สถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี และเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนต์ชื่อดังมากมายในการสร้าง อาทิเช่น เกลดิเอเตอร์ (Gladiator ปี 2000) ที่มีฉากต่อสู้ ในสนามประลอง จะเป็นที่ใดไม่ได้นั่นคือ โคลอสเซียม นั่นเอง วันนี้เรามาทำความรู้จักกันในเชิงลึกดีกว่า
      โคลอสเซียม (อังกฤษ: Colosseum), โคลิเซียม (อังกฤษ: Coliseum) หรือทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน (อังกฤษ: Flavian Amphitheatre; ละติน: Amphitheatrum Flavium; อิตาลี: Anfiteatro Flavio หรือ Colosseo) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี
      ประวัติของโคลอสเซียมโคลอสเซียม (Colosseum) นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของเวสปาเรียน จักรพรรดิโรม พระองค์เริ่มครองราชย์ในปี ค.ศ. 69 และด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มการก่อสร้าง Mega Projectขึ้น และโคลอสเซียมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
และนี่ทำให้โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬาของโรมที่ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดเท่าที่มีการสร้างขึ้น ด้วยทรัพย์สินตั้งแต่โต๊ะไปจนถึงเชิงเทียนทองคำแท้ที่โรมปล้นมาจากการยึดพระวิหารที่เยรูซาเลม มันจุผู้คนได้ราว 50,000 คน และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 80 เพื่อใช้แทนสนามกีฬาไม้ซึ่งถูกเผาไปในรัชสมัยของ จักรพรรดิเนโรด้วย


โคลอสเซียม เปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 80 สมัยจักรพรรดิติตุส ซึ่งในปีดังกล่าวสนามยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เพื่อเปิดสนามแข่งขันกีฬาต่างๆ ทั้งเกลดิเอเตอร์สู้กันเอง โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หรือสู้กับสัตว์ป่า อาทิ สิงโต เสือ และช้าง เป็นต้น โดยมีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกัน และบางทีอาจจะมีแสดงการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าด้วยกันเอง เช่น เสือสู้กับสิงโต กระทิงสู้กับหมี ฯลฯ เรียกว่าสมัยนั้นมีอะไรที่ต่อสู้กันได้ ไม่พ้นถูกจับให้มาประลองยังที่ โคลอสเซียม อย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามเกมต่อสู้ระหว่าง เกลดิเอเตอร์ ยังคงเป็นกีฬายอดฮิตที่สุดของผู้ชมชาวโรมันในสมัยนั้น จากหลักฐานบ่งบอกได้ว่า การต่อสู้ประเภทนี้มีมาก่อนการสร้างโคลอสเซียมเสียอีก แต่ในสมัยต่อมาจึงการพัฒนากฏ กติกา ต่างๆ แปลกใหม่ขึ้นมา เพื่อเพิ่มความเร้าใจให้กับคนดูนั่นเอง
        การบูรณะโคลอสเซียม
จากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวหลายครั้ง และภาวะสงคราม งานบูรณะซ่อมแซมจึงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 217 แต่ก็ถูกทอดทิ้งในเวลาต่อมา หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของอิตาลี ต่อมา โป๊ปเกรกอเรียส แมกนุส องค์ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ในช่วงปี ค.ศ. 590-604 ได้ทำการบูรณะ และเปลี่ยน โลอสเซียม ให้เป็นโบสถ์ สนามประลองยุทธ์อันเลื่องชื่อ จึงกลายเป็นโบสถ์ตั้งแต่นั้นมา จนถึงยุคนโปเลียนขึ้นครองราชย์ ระหว่างปี 1809-1815 โคลอสเซียม ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดอายุกว่า 1,900 ปี
ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1992 ธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ให้งบประมาณบูรณะ โคลอสเซียม ครั้งใหญ่ แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2003 



หมู่บ้านชิราคาวาโกะ

  

สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ



                                                 หมู่บ้านชิราคาวาโกะ 







        ชิราคาวาโกะ จังหวัดกิฟุ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาที่ประเทศญี่ปุ่น ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ เป็นหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ในปี ค.ศ. 1995 นอกเหนือไปจากทัศนียภาพที่สวยงามโดยรอบแล้ว นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมภาพบ้านเรือนรูปร่างแปลกตาที่มีอายุเก่าแก่ร้อยปี ซึ่งกระจายตัวขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ ใครยังนึกภาพไม่ออกละก็ วันนี้เว็บไซต์ matcha-jp.com ได้อาสาพาเราไปสำรวจหมู่บ้านชิราคาวาโกะกันแบบทุกซอกทุกมุม จนทำเอาคุณต้องอดอมยิ้มในความน่ารักและมีเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่ได้เลยทีเดียวเชียว



หมู่บ้านชิราคาวาโกะ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
         



           ในภูเขาลึกที่ห่างไกลจากโตเกียวกว่า 350 กิโลเมตร มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมากจากทั่วโลกไปเยี่ยมเยียนกัน นั่นก็คือ ชิราคาวาโกะ จังหวัดกิฟุ ซึ่งมีทัศนียภาพงดงามจากหิมะที่ตกลงมาทับถมกันมากมายในฤดูหนาวนั่นเองค่ะ

          ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านทรงกัสโชสึคุริ (จะอธิบายทีหลัง) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การ UNESCO ในปี 1995 ในครั้งนี้เราจะขอมาแนะนำเสน่ห์ของชิราคาวาโกะและบ้านทรงกัสโชสึคุริกันค่ะ

          ชิราคาวาโกะเป็นสถานที่แบบไหนกันนะ ?

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
          ชิราคาวาโกะ หมายถึงบริเวณทั้งหมดที่ยังหลงเหลือบ้านเรือนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งเรียกว่าบ้านทรงกัสโชสึคุริ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิราคาว่า จังหวัดกิฟุ โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่ทัศนียภาพบ้านเรือนหลังคาแบบคายาบุกิสีน้ำตาล (จะอธิบายทีหลัง) ที่เรียงรายกันหลายสิบหลัง

          ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงยุคสมัยสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในที่สุด บ้านทรงกัสโชสึคุริที่พบในชิราคาวาโกะนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปีเลยทีเดียว

          บ้านทรงกัสโชสึคุริคืออะไรกันนะ ?

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
ภาพจาก Phurinee Chinakathum/Shutterstock.com
         
 บ้านทรงกัสโชสึคุริ เป็นหนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่น โดยมีเอกลักษณ์คือรูปร่างที่เหมือนกับการประสานมือหรือพนมมือจากการนำหลังคาแบบคายาบุกิมาต่อกันนั่นเอง การสร้างหลังคาให้มีความลาดชันอย่างมากเพื่อให้หิมะที่ตกลงมาทับถมกันหนักตกลงไปข้างล่างตามธรรมชาติ เพราะว่าในบริเวณโดยรอบชิราคาวาโกะมีหิมะตกหนักทุกปีเลยล่ะค่ะ

          ในปัจจุบันเราสามารถพบเห็นบ้านทรงกัสโชสึคุรินี้ได้แค่ในชิราคาวาโกะและโกคายาม่า จังหวัดโทยาม่าเท่านั้น และด้วยเอกลักษณ์ความหายากนี้ทำให้เป็นเหตุผลสำคัญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

          คายาบุกิ คือวิธีการมุงหลังคาโดยใช้หญ้า เช่น หญ้าแพมพัส เป็นต้น หลังคาแบบคายาบุกิเป็นหลังคาแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต นับเป็นการมุงหลังคาที่ไม่ต้องใช้ตะปูเลยสักตัวเดียว ว่ากันว่าจะมีการมุงหญ้าทับ 30-40 ปีต่อครั้ง


        

           และบ้านทรงกัสโชสึคุรินี้ก็ยังคงเป็นที่พักที่มีผู้คนพักอาศัยอยู่จริง และเป็นห้องจัดแสดงผลงานให้ผู้คนมาเยี่ยมชมแม้ในปัจจุบัน

          บ้านไฮไลท์ในชิราคาวาโกะก็คือบ้านวาดะ บ้านวาดะนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบ้านในชิราคาวาโกะทั้งหมด และเป็นบ้านทรงคุณค่าถึงขนาดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าที่นี่จะสร้างขึ้นมากว่า 300 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันก็ยังคงหลงเหลือสภาพในอดีตที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย

          บ้านนี้ยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่เหมือนในอดีต (ธันวาคม ปี 2015) ชั้น 1 และชั้น 2 มีการเปิดให้เยี่ยมชมเป็นปกติ เราจึงสามารถชมเครื่องเรือนและโบราณวัตถุที่ใช้กันมาหลายชั่วอายุที่บ้านวาดะนี้แบบใกล้ชิดได้เลยค่ะ

          เสน่ห์ทั้ง 4 ฤดูกาล ไม่เพียงแค่ฤดูหนาวเท่านั้น

          รูปภาพที่นำมาใช้กันบ่อย ๆ ในแผ่นพับการท่องเที่ยว มักจะเป็นสภาพที่หลังคามุงจากทับถมไปด้วยหิมะซะส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงชิราคาวาโกะแล้วจึงมีคนไม่น้อยเลยที่จินตนาการถึงแค่ฤดูหนาวเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเราสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาลที่ชิราคาวาโกะได้เลยล่ะค่ะ

          ในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระที่ร่วงหล่นลงมาจะแต่งแต้มสีสันด้านบนหลังคาทรงพนมมือให้กลายเป็นสีชมพูสวยงามมาก ในฤดูร้อน ต้นไม้ใบหญ้า รวงข้าวที่งอกงามและบ้านเรือนทรงพนมมือก็จะทำให้เราได้สัมผัสถึงพลังชีวิตของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมู่บ้านก็จะถูกย้อมไปด้วยสีสันของใบไม้แดงและใบไม้เหลืองสดใส และในฤดูหนาวเราก็จะสามารถชมทัศนียภาพชวนฝันของมวลหิมะที่ตกลงมาทับถมกันทั้งหมู่บ้านเลยล่ะค่ะ

          และเนื่องจากในบริเวณรอบ ๆ ชิราคาวาโกะมีหิมะตกหนักทุกปี จึงมีการปิดถนนบางเส้นในฤดูหนาว ใครที่ตั้งใจว่าจะขับรถส่วนตัวหรือรถเช่าไปชิราคาวาโกะละก็ ขอแนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลการจราจรล่วงหน้าไว้ก็ดีนะคะ

          ทัศนียภาพที่ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกห่างไกลจากเมืองหลวง และมีบ้านเรือนเก่าแก่เรียงรายกันนับเป็นบรรยากาศชวนฝันจริง ๆ เลยค่ะ สำหรับใครที่อยากไปสัมผัสวิวทิวทัศน์ทรงคุณค่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็ต้องไปที่ชิราคาวาโกะกันให้ได้นะคะ










ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=yNQ_PV4migQ
ที่มา https://travel.kapook.com/view162124.html

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

หมู่บ้านชาวประมงดินเเดนฟยอร์ด


สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ หมู่บ้านชาวประมงดินเเดนฟยอร์ด


หมู่บ้านชาวประมงดินเเดนฟยอร์ด




            
             ในสมัยก่อนผู้คนออกล่าสัตว์เป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต เมื่อก้าวสู่ยุคใหม่มีการคิดค้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมากมายจนวิถีแบบดั้งเดิมเริ่มสูญหายไป แต่ยังมีประเทศใกล้ขั้วโลกเหนือที่อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนยังรักษาสืบทอดความสวยงามของธรรมชาติเอาไว้ได้จนกระทั่งได้รับการโหวตว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงแสนโรแมนติกสวยที่สุดในนอร์เวย์ อย่าง Reine
          
             Reine เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ห่างจากออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ไปทางตอนเหนือ 1,300 กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมไปยังเกาะเขตหนาว Moskenesioya ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ Lofoten ซึ่งมีหมู่บ้านเล็กๆ กระจายอยู่รอบๆ เกาะ ห้อมล้อมไปด้วยวิวทิวทัศน์ของเทือกเขา ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนสวยงามตระการตา ซึ่งแม้จะอยู่เหนือเส้น Arctic Circle เส้นสมมุติรอบบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น แต่โชคดีที่ได้รับอิทธิพลจากลมร้อนจากอ่าวเม็กซิโก ทำให้มีอากาศค่อนข้างเย็นสบายกำลังพอดี และยังสามารถชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ในฤดูร้อน โดยรอบเกาะรายล้อมไปด้วยมหาสมุทะแอตแลนติกและทะเลนอร์วีเจียนทำให้วิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะแห่งนี้เลี้ยงชีพด้วยการจับปลาค็อด แล้วนำมาตากแห้งบนราวเป็นแผงรอบเกาะ เก็บไว้รับประทานในฤดูหนาว น้ำบริเวณมหาสมุทรส่วนหนึ่งจะกลายเป็นน้ำแข็ง ถึงแม้ว่าแถบนี้จะมีหมู่บ้านเยอะแค่ไหน แต่หมู่บ้าน Reine กลับได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวว่าสวยที่สุดในนอร์เวย์ ซึ่งมีบรรยากาศแสนสงบและมีประชากรเพียง 300 กว่าคนเท่านั้น ด้วยชาวบ้านยังอนุรักษ์วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวไว้ได้และยังมีการจับปลาจนถึงปัจจุบัน ประกอบความงดงามของบ้านไม้แสนอบอุ่นสีขาว แดง และดำ อันเป็นเอกลักษณ์เรียงรายอยู่ตามพื้นที่ราบบริเวณแนวเทือกเขาหินผาอันแข็งแกร่งแทรกด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีเรือสำหรับออกหาปลาจอดหน้าบ้านคอยขยับขึ้นลงตามระลอกคลื่นเป็นวงตามกระแสลมที่พัดผ่าน เรียกได้ว่าธรรมชาติได้รังสรรค์ความงดงามไว้ให้มนุษย์อย่างลงตัวจริงๆ 

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะตั้งอยู่ห่างไกลเมืองหลวง แต่ด้วยทัศนียภาพความเก่าแก่ของหมู่บ้านที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลายพันคนเดินทางมาชมความสวยงามตลอดปี ซึ่งมีกิจกรรมให้เลือกทำหลายอย่าง ทั้งพายเรือแคนู สัมผัส ความงดงามของหมู่บ้าน ล่องเรือชมวิวฟยอร์ด จากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนที่ราบหุบเขาที่มีชั้นหินแข็งโดยรอบ หรือใครอยากสัมผัสบรรยากาศแบบพาโนราม่าแนะนำให้มาปีนเขา Reinebrigen ที่มีความสูง 488 เมตร รับลมเย็นปะทะหน้าชื่นชมภาพหมู่บ้านในมุมสูงที่เห็นวิวทิวทัศน์รอบทิศทาง แล้วคุณจะสัมผัสถึงเสน่ห์ที่ธรรมชาติสร้างไว้จนอยากหยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้ให้นานที่สุด 


พิรามิดแห่งกิซ่า




สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ พิรามิดแห่งกิซ่า  


พิรามิดแห่งกิซ่า 




ชื่อสถานที่     พิรามิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Egypt )
สถานที่ตั้ง     เมืองกิซา ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน         สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

          พิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีพิรามิดอยู่เกือบ 70 แห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดจนอาจนับเป็นตัวแทนของพีระมิดอียิปต์ทั้งมวล ได้แก่ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)  ซึ่งประกอบไปด้วย 3 แห่งที่อยู่ในเมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส   สันนิษฐานว่า พิรามิดนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้างราว 10 ปี  
  • โดยพิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จึงเรียกกันว่ามหาพิรามิด
          - ฐานของพิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 570,000 ตาราง768 ฟุต บริเวณฐานพิรามิด 4 ด้านนั้น มีความ
             กว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว
          - ตัวมหาพิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 
            6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร


            สันนิษฐานว่าผู้สร้างพิรามิดนี้อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของพิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยังน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางพิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หิบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องพิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และพิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง
  • พิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็นพิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาพิรามิด และอยู่ตรงกลางของพีรามิดทั้ง 3  สร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีรามิดคีเฟรนคือมหาพีรามิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีรามิดคีเฟรน  มีมหาสฟิงซ์  (The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคีเฟรน รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังพิรามิดแห่งคีเฟรน โดยพิรามิดคีเฟรนสูง 460 ฟุต ช่วงบนของพิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
  • พิรามิดไมซีรีนัส  มีขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า  สูงแค่ 230 ฟุต





เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์

  สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ กับเรื่องน่ารู้ก่อนไปเยือนสวรรค์แห่งยุโรป  



 เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ 






ก่อนแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ทำความรู้จักกับสวิตเซอร์แลนด์ให้มากขึ้น กับเรื่องน่ารู้สวิตเซอร์แลนด์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร เที่ยวที่ไหนดี ค่าใช้จ่ายแพงไหม มีอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์บ้าง เรามีคำตอบ 
          ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  เป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด ไม่ว่าใครก็อยากไปเห็นสวรรค์บนดินที่นี่กันสักครั้ง เพราะสวิตเซอร์แลนด์มีธรรมชาติสวยงามสะกดใจ โดยเฉพาะภูมิประเทศแบบภูเขา ซึ่งกินเนื้อที่ของประเทศไปกว่า 60% โดยมีเทือกเขาที่สำคัญ ก็คือ เทือกเขาแอลป์ นั่นเอง และถึงแม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ก็มีเสน่ห์ในทุกตารางเมตรจริง ๆ สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวหรืออยากทำความรู้จักกับที่นี่ให้มากขึ้น ลองมาดูเรื่องน่ารู้สวิตเซอร์แลนด์กันค่ะ   




 1. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่ที่ไหน ? สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของทวีปยุโรป โดยทางฝั่งตะวันตกของประเทศนั้นจะติดกับประเทศฝรั่งเศส ทางใต้ติดกับประเทสอิตาลี ด้านเหนือจะติดกับประเทศเยอรมนี และทางฝั่งตะวันออกจะติดกับประเทศลิกเตนสไตน์และประเทศออสเตรีย ไม่มีทางออกสู่ทะเล

          2. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีเนื้อที่ทั้งหมดราว ๆ 41,285 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหากนั่งรถไฟจากทางเมืองเจนีวา ไปจรดที่เมืองซูริกทางตอนเหนือก็ใช้เวลาเพียงแค่ราว ๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ภูมิประเทศกว่า 60% ของประเทศเป็นภูเขา นั่นก็คือพื้นที่ของเทือกเขาแอลป์ มียอดเขากว่า 100 แห่ง และส่วนมากก็สูงใกล้เคียงหรือมากกว่า 4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว ซึ่งในหลาย ๆ พื้นที่ก็ได้มีการจัดทำเส้นทางรถไฟและเคเบิลคาร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวสวิสและนักท่องเที่ยว             


                          เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์


3. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แบ่งการปกครองออกเป็น 26 รัฐ (Cantons) มี "กรุงเบิร์น" (Bern) เป็นเมืองหลวง แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุด ก็คือ "ซูริก" (Zurich) มีประชาชนรวมทั้งประเทศประมาณ 8,401,120 คน ซึ่งไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ภาษาราชการของสวิตเซอร์แลนด์มีถึง 4 ภาษาด้วยกัน คือ เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และโรมานช์

          สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศ ก็คือ ธงสี่เหลี่ยมสีแดง มีกากบาทสีขาวอยู่ตรงกลาง อันเป็นต้นแบบของธงกาชาดสากล (International Red Cross and Red Crescent Movement) ด้วย

          4. และด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นภูเขา จึงทำให้อากาศของสวิตเซอร์แลนด์นั้นเย็นสบายตลอดทั้งปี ฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน ฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ฤดูหนาวจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม และฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม    


เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์


5. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ใช้เขตเวลามาตรฐานแบบ UTC/GMT +1 ชั่วโมง ถ้าเทียบกับเวลาที่ไทยก็จะเดินช้ากว่า 6 ชั่วโมง

          6. สกุลเงินของสวิตเซอร์แลนด์นั้นเรียกว่า ฟรังก์สวิส (CHF) โดย 1 ฟรังก์สวิส = 31.26 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2562) สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวสวิตฯ ควรเตรียมแลกเงินฟรังก์สวิสไปนะคะ เพราะร้านค้าส่วนใหญ่จะรับแค่เงินฟรังก์สวิส มีรับยูโรบ้างแต่ไม่เยอะ เตรียมบัตรเครดิตไปด้วยก็ดีค่ะ เผื่อกรณีฉุกเฉิน

          7. สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์จะต้องขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen VISA) ซึ่งถ้าขอมาแล้วก็จะสามารถเข้า-ออกได้ทั่วทั้งยุโรปเลย (ยกเว้นประเทศอังกฤษ) แต่เรื่องเอกสารก็อาจจะยุ่งยากและมีค่าธรรมเนียมแพงพอสมควร ถ้ามีแผนอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นานกว่าประเทศอื่น ๆ ก็ยื่นขอได้ที่สถานทูตประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลยค่ะ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับวีซ่าเชงเก้นได้ที่ schengenvisainfo.com

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์

          8. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะใช้กระแสไฟฟ้า 220 V : 50 Hz ตัวปลั๊กเป็นแบบ 3 ขา ควรเตรียม Universal Adapter ไปด้วย

          9. เปิดโรมมิ่งหรือซื้อซิมการ์ดที่สวิตเซอร์แลนด์ดี ? ในกรณีที่ไปเที่ยวหลายวันแนะนำว่าให้ซื้อซิมการ์ดน่าจะคุ้มกว่า เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจจะหลุดจากแพ็กเกจ และยังมีหลายค่ายหลายราคาให้เลือกด้วย สามารถหาซื้อได้เลยที่สนามบิน

          10. ถ้าวางแผนมาแล้วว่าจะเดินทางท่องเที่ยวให้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์ ก็ต้องมาทำความรู้จักกับ Swiss Pass กันด้วย ซึ่งเป็นบัตรเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะสามารถใช้บัตรนี้ในการเดินทางด้วยรถไฟโดยสาร รถไฟท่องเที่ยว (บางสายต้องจ่ายเงินเพิ่ม) รถโดยสารประจำทาง และเรือที่อยู่ในเครือข่ายไปได้ทั่วสวิตฯ อีกทั้งยังใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้กว่า 500 แห่ง ใช้เป็นส่วนลดในการซื้อบัตรขึ้นยอดเขาต่าง ๆ และยังสามารถให้เด็กอายุ 6-15 ปี เดินทางด้วยได้ฟรี (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ swiss-pass.ch)

          ในการจองที่นั่งจะมีที่นั่ง 2 ประเภทคือ First Class และ Second Class ใครมีงบอยากนั่งแบบหรู ๆ ก็จองชั้น 1 ค่ะ แต่จะบอกว่าที่นั่งชั้น 2 ของที่นี่ยังดีกว่าชั้น 1 บ้านเราอีก ^^

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์

          11. ระบบขนส่งสาธารณะของสวิตเซอร์แลนด์ ถือได้ว่าดีอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก การเดินทางท่องเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์จึงง่ายดายและสะดวกมาก ถ้ามีเวลาเยอะ ๆ บางเมืองก็เหมาะที่จะเดินเที่ยว เพราะไม่อันตราย เส้นทางไม่ซับซ้อน แต่ถ้าเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะต้องโน้ตกันไว้สักนิดว่าเขาตรงเวลามาก ถ้าไปสายเพียงแค่นาทีเดียวก็อาจพลาดได้

          12. ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีค่าครองชีพสูงมากที่สุดในโลก ค่าใช้จ่ายใน 1 วัน จะตกอยู่ราว ๆ 3,000-5,000 บาท/คน ค่าอาหารมื้อละประมาณ 500-1,000 บาทต่อมื้อ ค่าที่พักก็โหดพอกันค่ะ ถ้าซีเรียสเรื่องงบประมาณ แนะนำให้พักเกสต์เฮาส์ หรือโฮสเทล ราคาก็จะเบาหน่อย แต่คุณภาพคับจอนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าใครวางแผนจะไปเที่ยวที่นี่ด้วยตัวเอง จะต้องเตรียมวางแผนค่าใช้จ่ายให้ละเอียดสักหน่อย

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์


          13. สำหรับเมืองซูริก อันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์นั้น ถือได้ว่าเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยค่ะ ตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณจุดเหนือสุดของทะเลสาบซูริก รอบ ๆ เมืองถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาอันสวยงาม บ้านเรือนต่าง ๆ ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งก็เข้ากันอย่างดีสถาปัตยกรรมในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมคะว่าบรรยากาศมันจะโรแมนติกขนาดไหน แล้วอย่าลืมลองนั่งรถราง (Trams) ในเมืองกันดูนะคะ ได้ประสบการณ์เจ๋ง ๆ ไปอีกแบบ (ดูเส้นทางได้ที่ zvv.ch)

          ที่เที่ยวซูริกที่น่าสนใจ เช่น Lake Zurich, Old Town (Altstadt), Uetliberg Mountain, Swiss National Museum, Great Minster church, Minster of Our Lady church, Museum of Art (Kunsthaus Zurich) และ Bahnhofstrasse เป็นต้น 


14. อีกหนึ่งเมืองที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ของสวิตเซอร์แลนด์ ก็คือ เมืองโลซานน์ (Lausanne) เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวาทางด้านเหนือ เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ได้เคยประทับอยู่เมื่อยังทรงพระเยาว์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2467-2494 ร่วมกับสมาชิกครอบครัวราชสกุลมหิดล เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีความหมายต่อคนไทยมาก ๆ ค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ความทรงจำครั้งยังทรงพระเยาว์ ในหลวง ร.9 

          15. เมืองอื่น ๆ น่าสนใจของสวิตเซอร์แลนด์ เช่น เบิร์น (Bern), ลูเซิร์น (Lucerne), อินเทอร์ลาเกน (Interlaken), เจนีวา (Geneva), เซอร์แมท (Zermatt), บาเซิล (Basel) และมองเทรอ (Montreux) เป็นต้น 

16. จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยวชมมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ คือ ยอดเขาต่าง ๆ โดยเฉพาะยอดเขาในเทือกเขาแอลป์ ยอดเขาที่มีชื่อเสียงของสวิตฯ เช่น Matterhorn, Jungfrau, Titlis, Monch และ Eiger เป็นต้น

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์



 17. สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อหาสวิตเซอร์แลนด์ เช่น Jungfrau, Matterhorn, Bernina Express, Lauterbrunnen, Rhine Falls, Ruinaulta, Chillon Castle, Creux du Van, Aletsch Glacier, Glacier 3000, Grindelwald, Lake Geneva, St. Moritz, Lake Lugano and Ticino และ Chapel Bridge เป็นต้น

          18. สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งผลิตนาฬิกาคุณภาพระดับโลก ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็หรูหราราคาแพง บางรุ่นก็มีจำหน่ายแค่เพียงในสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น นักท่องเที่ยวจึงนิยมที่จะมาเลือกซื้อนาฬิกากันที่นี่ แบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Rolex, Cartier, Patek Philippe, IWC Schaffhausen, OMEGA และ Tissot เป็นต้น

          19. สิ่งที่มีชื่อเสียงมาก ๆ อีกอย่างของสวิตเซอร์แลนด์ ก็คือ ช็อกโกแลต หลายคนกล่าวว่าช็อกโกแลตที่นี่คุณภาพดีที่สุดในโลก (แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน) เพราะฉะนั้นห้ามพลาดที่จะลิ้มลองเลยทีเดียว เมนูฮอตฮิตของนักท่องเที่ยวก็คือ ฟองดูว์ น่าจะถูกใจสายของหวาน ส่วนอาหารอื่น ๆ ที่น่าสนใจของสวิตเซอร์แลนด์ เช่น Raclette, Schnitzel, Saffron Risotto, Swiss Cheese Fritters (Malakoff) และ Rosti เป็นต้น

เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
ภาพจาก Fat Jackey / Shutterstock.com 

          20. ของฝากสวิตเซอร์แลนด์นอกจากนาฬิกาและช็อกโกแลตแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวน์, ชาท้องถิ่น, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติ, เครื่องสำอาง, แผ่นมาร์กหน้า, มีดและชุดเครื่องมืออเนกประสงค์แบบพกพาแบรนด์ Victerino และ น้ำหอม เป็นต้น