วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์


สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาเพื่อนๆไปพบกับดินเเดนมหัศจรรย์ชมอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์ อุโมงที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีความน่าตื่นตาตื่นใจ

อุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ญี่ปุ่น สวยสะพรั่งดุจเดินในสวรรค์



อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



       เมื่อพูดถึงการชมดอกไม้ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงการชมดอกซากุระ ที่ทยอยเบ่งบานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงตลอดทั้งเดือนเมษายน แต่คราวนี้เราขอพาไปชมดอกไม้อีกหนึ่งชนิดในญี่ปุ่น ที่มีความงดงามตระการตาไม่แพ้กัน นั่นคือ "ดอกวิสทีเรีย" (Wisteria) ซึ่งสถานที่ชมดอกวิสทีเรียที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ก็ต้องเป็นที่สวนคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน (Karachi Fuji Garden) ในเมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ ที่มีซุ้มอุโมงค์ต้นวิสทีเรียให้เดินลอดเป็นทางยาวเมื่อไปในช่วงที่ดอกวิสทีเรียกำลังแข่งกันเบ่งบาน เป็นสถานที่แสนงดงามราวกับเดินอยู่ในสรวงสวรรค์


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



          วิสทีเรีย เป็นพืชตระกูลถั่ว เติบโตได้ดีแม้ดินมีสารอาหารต่ำ เถาของมันจะเลี้ยวเกี่ยวพันไปกับหลัก ขึ้นไปได้สูงถึง 20 เมตร และแผ่ขยายออกด้านข้างได้ถึง 10 เมตร ดอกของมันออกเบียดเสียดกันตามปลายกิ่งที่ห้อยลงเห็นเป็นพวงสวยงาม

          สำหรับต้นวิสทีเรีย ที่สวนคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน นี้ มีมากถึง 150 ต้น แบ่งเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ถึง 20 สายพันธุ์ สีสันของดอกจึงแตกต่างคละเคล้ากันไป ตั้งแต่สีขาวบริสุทธิ์ สีน้ำเงิน สีชมพู สีชมพูอมม่วง ไปจนถึงสีม่วงเข้ม พากันเบียดเสียดออกดอกเป็นพวงห้อยระย้าละลานตา


          หากต้องการมาเที่ยวชมอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย ที่สวยคาวาจิ ฟูจิ การ์เดน ก็อย่าลืมวางแผนล่วงหน้าสักนิด โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม หากมานอกเหนือจากช่วงนี้อาจไม่ได้ยลอุโมงค์ดอกวิสทีเรียแสนสวย จะมีก็เพียงเถาของต้นวิสทีเรียพันเกี่ยวไปมาเท่านั้นนะจ๊ะ :D




อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย


อุโมงค์ดอกวิสทีเรีย



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สโตนเฮนจ์



สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ สโตนเฮนจ์

 สโตนเฮนจ์





       สโตนเฮนจ์(Stonehenge) หนึ่งในปริศนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดทางโบราณคดีของโลก นานหลายพันปีมาแล้ว แนวความคิดที่ล้ำหน้าแบบใหม่ สามารถจะอธิบายได้ว่าอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่และลึกลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใครและด้วยเหตุผลใดการศึกษาในสังคมปัจจุบันผสมผสามกับหลักฐานทางโบราณคดีจากทั่วยุโรปเหนือ ได้นำไปสู่ทฤษฎีที่น่าประหลาดใจว่าสโตนเฮนจ์ ถูกสร้างขึ้นมิใช่เพียงเพื่อเฉลิมฉลองดวงอาทิตย์หากเพื่อบูชาพลังที่เก่าแก่

อนุสรณ์โบราณนี้เปรียบเสมือนป้ายหลักกิโลเมตรที่สำคัญบนถนนที่นำไปสู่โลกใหม่ การไขปริศนาเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐาน โดยถามว่า คนที่สร้าง สโตนเฮนจ์ เชื่อในสิ่งใด? โครงสร้างที่ใหญ่ระดับนี้และเก่าแก่เช่นนี้ ย่อมต้องมีความสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างมากสำหรับผู้สร้าง การก่อสร้างเริ่มบนที่ตั้ง สโตนเฮนจ์ เมื่อกว่า 5 พันปีก่อน โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก แต่ละช่วงทำให้เกิดการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เดิมเสมอ หินยักษ์บางก้อนถูกส่งมาจากยอดเขาเพรสเซลลี่ (Presscelly) ในแคว้นเวลส์ ซึ่งอยู่ห่างไปหลายร้อยไมล์ มายังสถานที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ บนที่ราบซาลส์บิวรี่ (Salisbury) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ







บราณคดีแบบเดิม สรุปโดยทั่วไปว่าวัตถุประสงค์สำคัญของ สโตนเฮนจ์ก็คือ ดวงอาทิตย์ หน้าที่ของมันคือเป็นวิหารแห่งดวงอาทิตย์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นปฏิทินแสงแดด คนนับพันยังคงมารวมตัวกันกลางฤดูร้อนเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น และยังคงสืบทอดประเพณีที่หลายคนเชื่อว่ามีมาตั้งแต่เริ่มแรกของ สโตนเฮนจ์ แต่ในเดือนกันยายน ปี2002 บนเนินเขาทางตอนกลางของประเทศเยอรมันนี การค้นพบที่น่าทึ่งได้เกิดขึ้น แผ่นทองเหลืองแบบกลมอันสวยงาม ที่แสดงให้เห็นถึงดวงอาทิตย์แบ่งฟ้าร่วมกับดวงจันทร์ดวงใหญ่ และมีอายุเทียบเท่ากับช่วงสุดท้ายของการก่อสร้าง สโตนเฮนจ์ ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าก่อนจะหันมาบูชาดวงอาทิตย์ มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เคยบูชาดวงจันทร์มาก่อน เพื่อทำความเข้าใจแรงผลักดันทางสังคมในยุค สโตนเฮนจ์ การนำช่วงเวลาก่อสร้างมาพิจารณาอาจช่วยได้ มันถูกสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของยุค นีโอลิทิก (Neolithic) ขณะที่ยุคนี้กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปเป็นยุคทองเหลือง นีโอลิทิก หรือยุคหินใหม่ ถูกมองว่าเป็นช่วงต่อจากยุคพาลีโอลิทิก (Palaeolithic) หรือยุคหินเก่า ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน เป็นช่วงแรกในประวัติศาสตร์พัฒนาการของมนุษย์ และสโตนเฮนจ์ ซึ่งใช้ทักษะในเชิงวิศวกรรมและการตกแต่งที่พิเศษ กลับโดดเด่นเหนือกว่าอนุสาวรีย์อื่น ๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่กองหินธรรมดาที่พาดทับซ้อนกันเท่านั้น แต่นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด






มนุษย์ยุคหินที่ปราศจากเครื่องยนต์หรือเครื่องมือเหล็ก สามารถจัดการกับงานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? คำตอบง่าย ๆ คือ เวลาและความอดทนอันไร้ขีดจำกัด และเครื่องมืออันเรียบง่าย เช่น ชะแลง และ สิ่ว ที่ทำจากเขากวางมันคงใช้เวลานาน สำหรับการใช้ค้อนหิน ตอกหินให้เป็นรูปทรง และทำให้พื้นผิวที่ขรุขระแบนเรียบ แต่การทำงานในระดับนี้ ต้องการมากกว่าวิสัยทัศน์ มันต้องการคณะทำงานที่ทุ่มเทนั่นก็คือมีแรงงานในยุคเกษตรกรรมมีสังคมที่ซับซ้อนและมีวิสัยทัศน์มากพอที่จะนำแรงงานมาสร้างอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้

ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มักเกี่ยวโยงกับสองเพศ ไม่น่าแปลกใจที่ เพศหยิง จะถูกนำไปโยงกับดวงจันทร์สโตนเฮนจ์อาจจะสร้างเพื่อเทิดทูนดวงจันทร์ ด้านสตรีเพศของสังคม ขณะเดียวกันก็มิได้หันหลังให้กับดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นด้านบุรุษของสังคมเช่นกัน นักโบราณคดีเชื่อว่า สโตนเฮนจ์ถูกสร้างมาเพื่อต้องการให้ประชาชนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในแง่มุมใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้แสดงว่านักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนได้สังเกตการณ์มายาวนาน พวกเขารู้ถึงตำแหน่งของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไประหว่างขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ และเหลือเชื่อที่ว่าพวกเขาสามารถออกแบบสโตนเฮนจ์ให้สามารถดักจับแสงของดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าผ่านหน้าต่างสโตนเฮนจ์ได้ทุก ๆ เดือนใน 1 ปี





คุณอาจมองที่สโตนเฮนจ์ แบบที่คนรุ่นก่อนได้มองมาแล้ว และตีความมันไปได้หลายทาง ทุกรุ่นตีความต่างกันและเข้าใจต่างกัน สิ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยงกับคนในยุคนั้นแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเข้าใจการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และสามารถการเชื่อมโยงระหว่างการเคารพดวงจันทร์ในอดีตและการเคารพดวงอาทิตย์ในอนาคต เช่นเดียวกับมนุษย์ที่เปลี่ยนตัวเองจากนักล่าให้เป็นชาวไร่ อนุสาวรีย์แห่งนี้อาจจะเป็นก้าวสำคัญที่จะนำเราไปสู่ชีวิตใหม่

นักโบราณคดีในปัจจุบันพยายามทำความเข้าใจสังคมก่อนประวัติศาสตร์ที่สร้างงานอันยิ่งใหญ่ชึ้นหนึ่งของโลกพวกเขาเชื่อว่ามีแต่นักบวชเท่านั้นที่มีความสามารถในการชักจุงคนจำนวนมากมาทำงานหนักในการก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นนี้







วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

หอไอเฟล

สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ หอไอเฟล

หอไอเฟล



คงเป็นความฝันของนักท่องเที่ยวหลายๆคน ที่จะได้ไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล หอที่เป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส หอที่ทุกครั้งที่ไปทัวร์ฝรั่งเศส หากไม่ได้ไปเก็บภาพ หรือยลโฉมแล้วคงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเคยไปฝรั่งเศสแล้ว Happylongway จึงขอนำประวัติของหอไอเฟลที่ยิ่งใหญ่ มาเป็นข้อมูลให้ได้อ่านกัน (==>ทัวร์ฝรั่งเศส<==)
          หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอแฟล) เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หอไอเฟล

          ชื่อของหอไอเฟล มีที่มาอย่างไร?หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889) เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรม หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟลและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และใน ค.ศ. 2006 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย
หอไอเฟลสูงเท่าไร? และขนาดเท่าไหร่?
หอไอเฟล
สูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หอไอเฟล


บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ
ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันต้องมีความสวยงามในตัวของมันเอง
           ประวัติของหอไอเฟล
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กรุงปารีสได้เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี ค.ศ. 1889 เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติฝรั่งเศส ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้จัดการประกวดออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงาน มีการส่งแบบเข้าประกวดถึง 100 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับเลือกจากทางกรรมการของปารีสคือแบบของบริษัทของนายกุสตาฟ ไอเฟล และได้ทำสัญญากับรัฐบาลในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสกำหนดที่ก่อสร้างไว้ริมแม่น้ำแซน ปลายสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ โดยนายกุสตาฟ ไอเฟลได้สัมปทานหอ 20 ปี โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1890 จนถึงปี ค.ศ. 1910 ต่อจากนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงปารีส
          หอไอเฟลเริ่มสร้างในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยเริ่มจากการทำฐานของหอลึกลงไปถึงชั้นดินแข็ง เนื่องจากดินริมฝั่งแม่น้ำแซนมีความอ่อนมากแล้วจึงเริ่มทำตัวหอต่อจากนั้น การก่อสร้างใช้คนงาน 300 คน มีคนงานเสียชีวิต 1 คน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 2ปี 2เดือน 5วัน และมีพิธีเปิดหอไอเฟลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1889 โดยในวันนั้น นายกุสตาฟ ไอเฟลได้นำธงฝรั่งเศสไปติดไว้บนยอดหอไอเฟล
          เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ
          หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบน ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในกรุงปารีส และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300-10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ชั้น
โดยแรกเริ่มนั้นหอไอเฟลถูกค่อนแคะจากชาวปารีสในเชิงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง ด้วยถูกมองว่าไม่สวยงาม จนถูกเรียกขานไปต่าง ๆ ในเชิงติดลบ และถึงขนาดเคยมีความคิดที่จะรื้อโครงสร้างออกด้วยเมื่อปี ค.ศ. 1909



https://www.youtube.com/watch?v=CCptPcWYHO8

ไร่ชาวิวสวยในเมืองไทย

สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ ไร่ชาวิวสวยในเมืองไทย


ไร่ชาวิวสวยในเมืองไทย



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไร่ชาวิวสวยในเมืองไทย




           สำหรับใครที่ชอบบรรยากาศที่สวยงามของไร่ชา หนาวนี้ต้องไม่พลาดที่จะไปสัมผัสบรรยากาศสุดโรแมนติกที่ไร่ชาในภาคเหนือของเมืองไทย เป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวหน้าหนาวที่ห้ามพลาด 

          นอกจากจะได้ชมทัศนียภาพที่สวยงามของไร่ชาท่ามกลางขุนเขาและสายหมอกแล้ว ก็ยังจะได้เที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวบ้านบนดอยสูง และเที่ยวชมแปลงปลูกดอกไม้ พืชผลเมืองหนาวกันอีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมไร่ชาบรรยากาศดี มาเป็นตัวเลือกให้ได้ไปเที่ยวชมในช่วงหน้าหนาวนี้กันค่ะ จะมีที่ไหนบ้างไปชมกันเลยค่ะ

1. ไร่ชา 2000 จังหวัดเชียงใหม่

ไร่ชา
          

           สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ไม่ได้มีดีแค่สวนดอกไม้ และไร่สตรอว์เบอร์รีเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีแปลงปลูกพืชเมืองหนาวอื่น ๆ รวมทั้งไร่ชาอยู่ด้วย ซึ่งไร่ชาที่ว่านี้มีชื่อว่า ไร่ชา 2000 ซึ่งอยู่ในหุบเขา เป็นสถานที่สุดโรแมนติกของดอยอ่างขางอีกหนึ่งแห่ง ยามเช้าที่นี่จะมีหมอกให้ได้ยลโฉมมากมาย มีศาลาและจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน หากขับรถเข้ามาภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางแล้ว ให้ขับรถไปทางหมู่บ้านขอบด้ง จากนั้นให้ขับเลยหมู่บ้านขอบด้งไปสักนิด จะเจอกับป้ายไร่ชา 2000 อยู่ทางซ้ายมือ ให้เลี้ยวรถเข้าไปตามทาง รถที่เข้าไปที่ไร่ชาควรเป็นรถกระบะเท่านั้น เพราะเส้นทางยังเป็นดินลูกรัง

          ที่อยู่ : สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่          เวลาเปิด-ปิด : ไม่มีเวลาเปิด-ปิด แต่ควรไปถึงก่อน 17.00 น. เพราะทางเข้ามืด ไม่มีไฟฟ้า
          
ค่าธรรมเนียม : หากขับรถเข้ามาทางสถานีเกษตรหลวงอ่างขางจะเสียค่าธรรมเนียมที่หน้าด่านของสถานี แต่หากใช้เส้นทางอื่น ๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย          โทรศัพท์ : ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวอ่างขาง โทร. 0 5396 9489
2. ไร่ชา 101 จังหวัดเชียงราย


ไร่ชา

          

           ไร่ชา 101 เป็นไร่ชาอู่หลงคุณภาพดีของเมืองไทย ตั้งอยู่ที่ดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางหุบเขาไร่ชาแห่งนี้ได้ทอดตัวอยู่อย่างสง่างาม ใบชาสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม แต่งแต้มแซมกันออกมาให้ได้เห็นอย่างงดงาม ต้นชานับพันนับหมื่นต้นเรียงรายกันเป็นแนวยาว ลดหลั่นกันลงมาตามเชิงเขา ในฤดูหนาวไร่ชาจะถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกมากมาย อากาศหนาวเย็น สุดโรแมนติก ชาวเขายังคงใส่ชุดประจำเผ่าออกมาเก็บใบชาในช่วงเช้าของทุกวัน และเมื่อไปถึงที่นี่แล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะลิ้มรสชาไทย คุณภาพดีเยี่ยม กลิ่นหอมละมุน พร้อมกับผลิตภัณฑ์จากใบชาอีกมากมาย แล้วคุณจะหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน

          ที่อยู่ : ดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.
          
ค่าธรรมเนียม : ฟรี
          
โทรศัพท์ : 08 8805 9391, 08 1649 5567
          
เฟซบุ๊ก : ไร่ชา101 ดอยแม่สลอง เชียงราย


3. ไร่ชาวังพุดตาล จังหวัดเชียงราย

          ไร่ชาวังพุดตาล เป็นไร่ชาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่บนดอยสูงในเขตพื้นที่ดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มีทัศนียภาพของไร่ชาที่สวยงาม ปลูกเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามเนินเขาเป็นบริเวณกว้าง มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมได้ตลอดทุกวัน บริเวณด้านหน้าโดดเด่นด้วยกาน้ำชาขนาดใหญ่ 3 ใบ ตั้งอยู่ในลักษณะที่กำลังรินชาลงในถ้วยชา จึงกลายเป็นจุดถ่ายภาพยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวดอยแม่สลอง ทั้งนี้ที่นี่มีร้านอาหารและที่พักไว้รองรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

          
ที่ตั้ง : ดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เข้าเที่ยวชมได้ตลอดเวลา
          
ค่าธรรมเนียม : ฟรี
         
 โทรศัพท์ : 08 9995 4066 (ที่พัก), 09 0995 9695 (ร้านอาหาร), 08 9559 5381 (ชา) 
          
เว็บไซต์และเฟซบุ๊ก : wangputtan.comWang Put Tan Tea

 4. ไร่ชาฉุยฟง จังหวัดเชียงราย


ภาพจาก CHOUI FONG TEA  
         

         บนเนื้อที่ตามเนินเขาของตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน มากกว่า 1,000 ไร่ เต็มไปด้วยไร่ชาคุณภาพแห่งไร่ชาฉุยฟง ด้วยความที่ไร่ชาแห่งนี้อยู่เหนือกว่าระดับน้ำทะเลมากถึง 1,200 เมตร พร้อมทั้งสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของชา จึงทำให้ชาที่นี่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม มีความหอมเป็นเอกลักษณ์ การันตีคุณภาพจากรางวัลต่าง ๆ ตลอดมา และเมื่อไม่นานมานี้ทางไร่ชาฉุยฟงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าชมทัศนียภาพของไร่ชา พร้อมทั้งเลือกซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากทางไร่ได้ในราคาย่อมเยา

          ที่อยู่ : 97 หมู่ 8 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.30 น.
          
ค่าธรรมเนียม : ฟรี
          
โทรศัพท์ : 0 5377 1563
          
เว็บไซต์และเฟซบุ๊ก :  www.chouifongtea.com, CHOUI FONG TEA

5. สิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย

ไร่ชา

         

 ไร่บุญรอด หรือ สิงค์ปาร์ค เป็นไร่ชาที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ด้วยเนื้อที่มากกว่า 8,000 ไร่ ภายในไร่บุญรอดเต็มไปด้วยไร่ชาที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมทั้งมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี กลายเป็นสถานที่สุดโรแมนติกที่ห้ามพลาดของจังหวัดเชียงรายเลยทีเดียว นอกจากนี้ภายในไร่บุญรอดยังมีแปลงเพาะปลูกพุทรา, มะเฟือง, สตรอว์เบอร์รี, ทะเลสาบขนาดใหญ่, นาข้าว, ไร่ยางพารา, ทุ่งปอเทือง, ทุ่งดอกคอสมอส ฯลฯ ให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมไร่ พร้อมทั้งเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของไร่บุญรอด และลิ้มชิมรสอาหารที่ร้านภูภิรมย์ ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดในช่วงหน้าหนาวนี้เด็ดขาด

          ที่อยู่ : 99 หมู่ 1 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : ฟาร์มทัวร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ร้านอาหารภูภิรมย์ 11.00-22.00 
          ค่าธรรมเนียม : ขับรถเข้าเที่ยวชมไร่ฟรี และสำหรับกิจกรรมฟาร์มทัวร์คนละ 50 บาท
          
โทรศัพท์ : 09 1576 0374
          
เว็บไซต์และเฟซบุ๊ก :  singhapark.comSingha Park Chiang Rai สิงห์ปาร์ค เชียงราย  

 6. ไร่ชาหงษ์ฝู่ จังหวัดเชียงราย

ไร่ชา
ภาพจาก hongfuteas

          ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของดอยแม่สลอง ไร่ชาหงษ์ฝู่ก็ได้อิงแอบอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ด้วยเช่นกัน จากประสบการณ์การปลูกชามาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ชาที่นี่มีรสชาติกลมกล่อม หอมนุ่ม ใส่ใจตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงการผลิตใบชาแห้งออกจำหน่าย จึงเป็นไร่ชาออแกนิกส์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว นอกจากทัศนียภาพที่งดงามและอากาศเย็นสบายแล้ว ที่นี่ยังมีพรรณไม้อื่น ๆ สวนดอกไม้ และต้นนางพญาเสือโคร่งให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย พร้อมทั้งมีบริการร้านอาหาร ร้านขายของฝากของที่ระลึก หากต้องการพักผ่อนบนดอยแม่สลอง ไร่ชาหงษ์ฝู่ก็มีที่พักเปิดให้บริการ ซึ่งมีบรรยากาศที่สวยงามและราคาไม่แพงด้วย

          ที่อยู่ : 13/3 หมู่ 1 บ้านสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าเที่ยวชมเฉพาะกลุ่ม เพราะเป็นไร่ชาออแกนิกส์ แต่ลูกค้าของรีสอร์ท หรือร้านอาหารสามารถสอบถามได้โดยตรงจากพนักงาน
          
ค่าธรรมเนียม : สอบถามจากทางไร่ชาหงษ์ฝู่โดยตรง
          
โทรศัพท์ :  08 0558 0066, 08 6366 1668
          
เว็บไซต์ : hongfuteas.com


7. ไร่ชาวาวี จังหวัดเชียงราย

ไร่ชา
        
          ดอยวาวี เป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวจีนฮ่อที่อพยพเข้ามาทางตอนเหนือของประเทศไทย และได้นำวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวจีนคือการดื่มชาเข้ามาในเมืองไทย จนทำให้พวกเขายึดอาชีพการปลูกชาเป็นหลัก และด้วยพื้นที่ของดอยวาวี บวกกับพันธุ์ชาดั้งเดิม ทำให้ชาของที่นี่มีรสชาติหอมหวานไม่เหมือนกับที่ไหนในเมืองไทย โดยทั่วดอยวาวีจะมีทัศนียภาพของไร่ชาที่สวยงาม พร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบ และอากาศเย็นสบาย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน รับประทานอาหารพื้นเมืองอันเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังได้ลิ้มรสบ๊วย พลัม ท้อ และผลไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดอีกด้วย

          ที่ตั้ง : ดอยวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
          
เวลาเปิด-ปิด : ไร่ชาของชาวบ้านจะอยู่ริมเขาและริมถนน สามารถเข้าเที่ยวชมได้ตลอดเวลา
          
ค่าธรรมเนียม : ฟรี
          
โทรศัพท์ : สอบถามข้อมูลได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย โทรศัพท์ 0 5371 7433
8. ไร่ชาลุงเดช จังหวัดเชียงใหม่

ไร่ชา

ไร่ชา
          ใกล้กับศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ บนพื้นที่ดอยสูงมีแปลงปลูกชาที่สวยงาม เรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามไหล่เขา ซึ่งพื้นที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า "ไร่ชาลุงเดช" นอกจากชาที่นี่จะมีคุณภาพดีแล้ว ยังมีทัศนียภาพที่สวยงามอีกด้วย เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน จึงทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี นักท่องเที่ยวจะได้เที่ยวชมไร่ชา พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวชา ชิมชา และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชาจากไร่ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด อีกทั้งยังได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้ง และเที่ยวชมสวนส้ม สวนกล้วยไม้ แปลงปลูกกาแฟ และพืชผลเมืองหนาว และยังมีที่พักไว้บริการอีกด้วย

          ที่อยู่ : ตำบลเมืองก๋าย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
          
โทรศัพท์ : 08 1163 3765 
          ค่าธรรมเนียม : สอบถามได้จากทางไร่โดยตรง  
          เฟซบุ๊ก : ไร่ชาลุงเดช           ทั้งหมดนี้เป็นเพียงไร่ชาส่วนหนึ่งเท่านั้นในเมืองไทย หนาวนี้ใครอยากจะพาครอบครัว หรือคนรักไปสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกที่ไร่ชา ก็ลองแวะเวียนไปเที่ยวไร่ชาเหล่านี้กันได้ค่ะ ซึ่งแต่ละที่นั้นรับรองได้เลยว่าจะทำให้คุณประทับไม่มีวันลืมแน่นอน
          

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก wangputtanchouifongtea.comboonrawdfarm.comhongfuteas.comthairoyalprojecttour.comchiangraiairportthai





https://travel.kapook.com/view130899.html
https://www.youtube.com/watch?v=fUQOtUeLOcs

เกาะพีพี

สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์ เกาะพีพี


เกาะพีพี


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกาะพีพี



 กระบี่...เมืองชายทะเลในฝัน งดงามด้วยหาดทรายสีขาว น้ำทะเลใส ๆ ปะการังแสนสวย ถ้ำโตรกชะโงกผา และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 100 เกาะ รวมกันเป็นมนตร์เสน่ห์ที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดกระบี่

          ทว่ามาเยือนกระบี่ทั้งทีหากใครไม่ได้ไปเที่ยว "หมู่เกาะพีพี" ก็เหมือนมาไม่ถึงกระบี่นะคะ ถ้าอย่างนั้นกระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ "หมู่เกาะพีพี" กันให้มากขึ้น เผื่อวันไหนมีโอกาสได้ไปจะได้นำไปเป็นข้อมูลวางแผนโปรแกรมในการท่องเที่ยวได้ค่ะ

          "หมู่เกาะพีพี" เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า "ปูเลาปิอาปิ" คำว่า "ปูเลา" แปลว่า เกาะ คำว่า "ปิอาปิ" แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า "ต้นปีปี" ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น "พีพี" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทร นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการัง ดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีที่มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ยังมีเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือกระบี่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกาะพีพี



          เริ่มกันที่ "เกาะพีพีดอน" มีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของเกาะคือเวิ้งอ่าวคู่ที่มีความสวยงามติดอันดับโลกของ "อ่าวต้นไทร" และ "อ่าวโละดาลัม" ทั้งนี้อ่าวต้นไทรเป็นที่ตั้งของท่าเรือเกาะพีพีและมีสถานที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จากอ่าวต้นไทรสามารถเดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวคู่ได้ อย่างไรก็ตามเกาะพีพีดอนยังมีหาดทรายและอ่าวที่สวยงามกระจายอยู่รอบเกาะ บางแห่งมีที่พักบริการ เช่น หาดแหลมหิน หาดยาว อ่าวโละบาเกา


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


          ทางเหนือของเกาะคือ "แหลมตง" เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวเลประมาณ 15-20 ครอบครัว ส่วนใหญ่อพยพมาจากเกาะหลีเป๊ะ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล บริเวณแหลมตงมีธรรมชาติใต้ทะเลที่สวยงาม และบนหาดยังมีที่พักไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

          "เกาะพีพีเล" มีพื้นที่เพียง 6.6 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน มีหน้าผาสูงชันตั้งฉากกับผิวทะเลโดยรอบเกือบทั้งเกาะ มีพื้นน้ำลึกเฉลี่ยประมาณ 20 เมตร มีบริเวณน้ำลึกที่สุดประมาณ 34 เมตรอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ เกาะแห่งนี้มีเวิ้งอ่าวสวยงาม เช่น อ่าวปิเละ อ่าวมาหยา อ่าวโละซามะ


          นอกจากนี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังมี "ถ้ำไวกิ้ง" เมื่อปี พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า "ถ้ำพญานาค" ตามรูปร่างหินก้อนหนึ่งที่คล้ายเศียรพญานาค อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านที่มาเก็บรังนกนางแอ่นบนเกาะแห่งนี้

          ภายในถ้ำทางทิศตะวันออกและทิศใต้ พบภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นรูปช้างและรูปเรือชนิดต่าง ๆ เช่น เรือใบยุโรป เรือใบอาหรับ เรือสำเภา เรือกำปั่น เรือใบใช้กังหัน และเรือกลไฟ เป็นต้น สันนิษฐานว่าภาพเขียนเหล่านี้เป็นฝีมือของนักเดินเรือหรือพวกโจรสลัด เพราะจากการศึกษาเส้นทางเดินเรือจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออก บริเวณนี้อาจเป็นจุดที่เรือสามารถแวะพักหลบลมมรสุมขนถ่ายสินค้าหรือซ่อมแซมเรือได้

          "เกาะยูง" ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน มีชายหาดเป็นหาดหินอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีหาดทรายเล็กน้อยตามหลืบเขา นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังสวยงามชนิดต่าง ๆ และ "เกาะไม้ไผ่" ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน ไม่ไกลจากเกาะยูงเท่าใดนัก ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีหาดทรายสวยงามและแนวปะการัง ซึ่งส่วนมากเป็นแนวปะการังเขากวางทอดยาวไปถึงทางทิศใต้ของเกาะ นอกจากนี้บนเกาะยังมีสถานที่กางเต็นท์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

การเดินทางไปหมู่เกาะพีพี

          การเดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะพีพี นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินทางไปได้ทั้งจากจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดกระบี่ ในส่วนของจังหวัดกระบี่จะมีเรือโดยสารไปยังเกาะพีพีทุกวัน นักท่องเที่ยวสามารถมาขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือจิหลาด อำเภอเมืองกระบี่ โดยมีเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือจิหลาด-เกาะพีพี 4 รอบ คือ 09.00 น., 10.30 น., 13.30 น. และ 15.00 น. (วันศุกร์จะมีรอบ 16.00 น. เพิ่มอีก 1 รอบ) และเกาะพีพี-ท่าเรือจิหลาด 4 รอบ คือ 09.00 น., 10.30 น., 13.30 น. และ 15.30 น. แต่ละรอบใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง ค่าเดินทางเที่ยวละ 450 / ท่าน

          ส่วนการเดินทางจากภูเก็ตมีเรือนำเที่ยวเกาะพีพีแบบเช้าไป-เย็นกลับ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้ที่บริษัททัวร์ทั่วไปในตัวเมืองภูเก็ต นอกจากนี้บริเวณอ่าวต้นไทรบนเกาะพีพีดอน ยังมีเรือหางยาวให้เช่าไปเที่ยวตามชายหาดต่าง ๆ รวมถึงเกาะพีพีเลด้วย

          สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ โทรศัพท์ 0 7562 2163

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกาะพีพี



          อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม หรืออยากดื่มด่ำกับหมู่เกาะพีพีมากกว่า กระปุกดอทคอมก็ได้นำลิงก์บันทึกการเดินทางไปเที่ยวหมู่เกาะพีพี ซึ่งถ่ายทอดโดย คุณ voravuds และ คุณ bodyseries มาฝากกันอีกด้วย



https://travel.kapook.com/view332.html
https://www.youtube.com/watch?v=e-2a3PpKlI4

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เกรตแบร์ริเออร์รีฟ



สวัสดีค่ะวันนี้ จะพาท่านเข้ามาสู่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดินเเดนมหัศจรรย์  เกรตเเบร์ริเออร์รีฟ

เกรตแบร์ริเออร์รีฟ







            เที่ยวเมืองแคนส์ เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีแนวปะการัง Great Barrier Reef ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวกว่า 2,300 กิโลเมตร ว้าวว เรียกได้ว่าเป็นแนวปะการังที่ยังอุดมสมบูรณ์และสวยงามอยู่ในปัจจุบัน จนได้ขึ้นเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกเลยอีกด้วย เป็นจุดดำน้ำระดับโลกที่ต้องห้ามพลาดเลยหละค่ะ จะสวยขนาดไหน ต้องไปดูให้เห็นกับตานะคะ

           นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชมแนวปะการัง Great Barrier Reef โดยนั่งเฮลิคอปเตอร์ หรือนั่งเรือเพื่อชมความสวยงามของปะการังตามจุดต่างๆ ได้ ซึ่งแต่ละจุดที่แวะ เราสามารถเลือก Snorkeling, scuba diving, semi-submersibles, Scuba Doo ได้ตามใจชอบอีกด้วย สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะที่นี่เค้ามีบรีฟกันสดๆ ก่อนลงกันเลย และยังมีว่ายประกบกันแบบตัวๆ อีกด้วย รับรองงานนี้ปลอดภัยหายห่วงแน่นอนจ้าา






        อย่างที่กริ่นไว้ตอนแรกว่าที่นี่เค้ามีกิจกรรมให้เราเลือกทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Snorkeling, scuba diving, semi-submersibles และ Scuba Doo อยากรู้แล้วใช่มั๊ยคะว่า แต่ละอย่างมันต่างกันยังไง งั้นเราไปทำความรู้จักกันเล้ยยย
          Snorkeling เป็นการดำน้ำบนผิวน้ำ เหมาะสำหรับการชมปะการังน้ำตื้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้จะมีแค่ หน้ากากดำน้ำ ท่อหายใจ ชูชีพ และตีนกบ ก่อนลง จะมีลูกเรือเคยตรวจสอบความเรียบร้อย และให้คำแนะนำในการดำน้ำตื้นครั้งแรก สำหรับมือใหม่ ต้องการครูสอนช่วยว่ายประกบ เค้าก็มีให้เหมือนกันค่ะ แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยนะตัวเองง
Guided Snorkel :
ผู้ใหญ่  $62

เด็ก     $32


Scuba diving เป็นการดำน้ำลึก โดยใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจติดกับตัวนักดำน้ำไปด้วย การว่ายน้ำในระดับที่ลึกกว่าการ Snorkeling จะทำให้เห็นความสวยงามของปะการังมากยิ่งขึ้น และยังพบกับฝูงปลาหายากที่ออกมาว่ายทักทายอย่างมากมายอีกด้วย สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการดำน้ำ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลค่ะ เพราะที่นี่เค้ามีอาจารย์ที่เป็นมืออาชีพคอยแนะนำและให้ความรู้พวกเรา รับรองว่าจากที่ดำไม่เป็น ต้องเก่งขึ้นมาแน่นอนค่า
Introductory Diving :
ผู้ใหญ่  $164







          Semi Submarine เป็นเรือกึ่งดำน้ำ ด้านล่างของเรือจะเป็นห้องกระจกใส ทำให้เรามองเห็นความงามของโลกใต้ท้องทะเลได้แบบพาโนรามาเลยค่ะ ภายในจะมี ลูกเรือคอยให้ความรู้เกี่ยวกับความอัศจรรย์ของโลกใต้ทะเลอีกด้วย บอกเลยว่างานนี้ ไม่ต้องฝึกดำน้ำ ไม่ต้องว่ายน้ำเป็น ก็สามารถชื่นชมความสวยงามของเหล่าปะการังและฝูงปลาตัวน้อยได้อย่างสนุกสนาน และปลอดภัยแน่นอนจ้า



         Scuba Doo หรือ สกู๊ตเตอร์ใต้น้ำ เป็นการดำน้ำแบบนั่งสบายๆ ไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ ก็สามารถสนุกไปกับโลกใต้ทะเลได้แล้ว แนะนำว่าเป็นกิจกรรมที่ทุกคนไม่ควรพลาด เพราะ Great Barrier Reef เป็นสถานที่เดียวในออสเตรเลียที่เราสามารถชมแนวปะการังบนสกู๊ตเตอร์ใต้น้ำได้ ใครกำลังอยากเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ ต้องลองค่ะ
Price:

ผู้ใหญ่  $165

ในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน ทำให้แนวปะการัง Great Barrier Reef บางจุดเริ่มเกิดการฟอกขาว และตายลงไป ใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวที่นี่ ต้องรีบมาดูแล้วนะคะ และเมื่อมาเที่ยวแล้ว อย่าลืมดูแลรักษาสภาพแวดล้อมกันด้วย เพื่อจะได้มีแนวปะการังสวยๆ อยู่กับเราไปนานๆ